ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

บทความ

กำลังแสดงโพสต์ที่มีป้ายกำกับ ประวัติศาสตร์

มาร์โค โปโล: นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เข้าเฝ้า "กุบไลข่าน" แห่งมองโกล

มาร์โค โปโล: นักสำรวจผู้ยิ่งใหญ่ ผู้เข้าเฝ้า  "กุบไลข่าน" แห่งมองโกล           บันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล (Marco Polo) ซึ่งเล่าเรื่องราวที่น่าทึ่งและน่าสนใจมากมายในดินแดน ซึ่งยังไม่เคยมีชาวตะวันตกคนใดเคยไปมาก่อน เป็นแรงบันดาลใจให้แก่นักเดินทางทุกยุคทุกสมัยมาเป็นระยะเวลายาวนานกว่า 700 ปี สนใจที่จะออกเดินทางไปยังดินแดนอันไกลโพ้นเพื่อค้นพบสิ่งแปลกใหม่ คริสโตเฟอร์ โคลัมบัส ซึ่งค้นพบทวีปอเมริกาในศตวรรษที่ 15 ก็ได้รับแรงบันดาลใจมาจากการอ่านบันทึกการเดินทางของมาร์โค โปโล ผู้ซึ่งสมควรได้รับการยกย่องว่า เป็นนักเดินทางผู้ยิ่งใหญ่ตลอดกาล           มาร์โค โปโล เกิดเมื่อปี 1254 ที่เมืองเวนิส บิดาชื่อ นิโคโล โปโล (Nicolo Polo) เป็นพ่อค้าที่ชอบออกไปค้าขายในต่างแดน ตอนที่มาร์โค โปโลเกิด พ่อและอา มัฟเฟโอ โปโล (Maffeo Polo) ได้ออกเดินทางไปค้าขายในแถบคาบสมุทรไครเมียร์ ทางตอนใต้ของประเทศยูเครนในปัจจุบัน ซึ่งในสมัยนั้นอยู่ในเขตอิทธิพลของมองโกลที่กำลังแผ่อำนาจจากเอเชียกลางมายังทวีปยุโรป ในปี 1260 ได้เกิดสงครามระหว...

เมื่อครั้งหนึ่งสยามมีแผนยกทัพขึ้นไปตีถึงกรุงอังวะ เจ้าพระยาโกษาธิบดี(เหล็ก)

เรื่องสงครามคราวนี้ พระราชพงศาวดารไทยกับพงศาวดารพม่ายุติต้องกันแต่ว่าไทยกับพม่าได้รบกัน แต่ส่วนพลความแตกต่างกันไปหมด ในพงศาวดารพม่าว่าไทยยกไปตีเมืองทวายแลัเมืองเมาะตะมะ เสียทีพม่าต้องเลิกทัพกลับมา ในหนังสือพระราชพงศาวดารว่า ไทยยกกองทัพขึ้นไปถึงราชธานีของพม่า ได้ล้อมเมืองอังวะไว้ แต่ขัดเสบียงอาหารจึงต้องเลิกทัพกลับมา พิเคราะห์ความตามหลักฐานที่มีอยู่ว่าความจริงจะเป็นอย่างข้างไหนก็ตัดสินยาก หลักฐานที่น่าจะสมจริงอย่างข้างพม่าว่ามีอยู่ที่แผนที่ ด้วยเมืองอังวะอยู่ไกลขึ้นไปข้างเหนือมาก ถ้าไทยจะยกกองทัพขึ้นไปจะต้องได้หัวเมืองมอญไว้เป็นกำลังทั้งหมด แล้วยังจะต้องตีเมืองแปร เมืองตองอู และหัวเมืองใหญ่น้อยต่อขึ้นไปอีกหลายเมือง ถึงจะถึงเมืองอังวะ ครั้งสมเด็จพระนเรศวรได้หัวเมืองมอญไว้เป็นกำลังโดยมากแล้ว ก็ตีเพียงเมืองหงสาวดี ครั้นจะเสด็จไปตีเมืองอังวะ ยังเห็นว่าเดินกองทัพไปทางเมืองเชียงใหม่สะดวกกว่า ครั้งแผ่นดินสมเด็จพระนารายณ์เป็นแต่มอญเมืองเมาะตะมะเป็นกบฎต่อพม่า แล้วพากันหนีมาพึ่งไทยหัวเมืองมอญอื่นยังเป็นของพม่า หาได้มาขึ้นกับไทยอย่างแผ่นดินสมเด็จพระนเรศวรไม่ พิเคราะห์ความตามหลักฐานที่ก...

สงครามจีน – พม่า ยุทธภูมิสยบมังกร ตอนที่2

สงครามจีน – พม่า ยุทธภูมิสยบมังกร ตอนที่2 หลังทรงทราบข่าวความพ่ายแพ้ของหมิงรุ่ย จักรพรรดิทรงตกพระทัยและกริ้วยิ่งนัก จึงทรงมีรับสั่งเรียกตัวองคมนตรีฟู่เหิง ซึ่งเป็นลุงของหมิงรุ่ย ผู้เคยมีประสบการณ์ในการรบกับมองโกล พร้อมด้วยแม่ทัพแมนจูอีกหลายนาย เช่น เสนาบดีกรมกลาโหม อากุ้ย แม่ทัพอาหลีกุ่น รวมทั้งเอ้อหนิง สมุหเทศาภิบาลมณฑลยูนนานและกุ้ยโจว ให้เตรียมการยกทัพเข้าโจมตีพม่าเป็นครั้งที่สี่ โดยอาศัยกำลังทั้งจากทัพแปดกองธงและกองธงเขียว       ปี ค.ศ.1769 หลังเตรียมการพร้อมสรรพ ฟู่เหิงก็นำทัพมุ่งสู่แดนพม่า โดยแบ่งเป็นทัพบกและทัพเรือ โดยทัพบกเคลื่อนมาทางฝั่งตะวันตกของแม่น้ำอิระวดี ส่วนทัพเรือล่องมาตามแม่น้ำ โดยมีกำลังพลทั้งสิ้นหกหมื่นคน ประกอบด้วยทหารแปดธงสี่หมื่นและทัพธงเขียวกับทหารไทใหญ่อีกสองหมื่น       ฝ่ายพม่านั้น พระเจ้ามังระโปรดให้ อะแซหวุ่นกี้เป็นแม่ทัพใหญ่ มีพลามินดินเป็นผู้ช่วย โดยยุทธศาสตร์หลักคือ ต้องยันทัพชิงไว้ที่ชายแดน ไม่ให้บุกลึกเข้ามาในพม่าได้อีก นอกจากนี้ ฝ่ายพม่ายังเตรียมกองทัพเรือเพื่อสู้ศึกกับทัพเรือต้าชิงและเสริมกำลังด้วยกองทหารปืนใหญ่ชา...

สงครามจีน – พม่า ยุทธภูมิสยบมังกร ตอนที่1

สงครามจีน – พม่า ยุทธภูมิสยบมังกร สงครามจีน-พม่า หรือ การบุกครองพม่าของราชวงศ์ชิง หรือ การทัพพม่าแห่งราชวงศ์ชิง (อังกฤษ: Qing invasions of Burma, Myanmar campaign of the Qing Dynasty) เป็นการสงครามระหว่างราชวงศ์ชิงของจีน กับราชวงศ์คองบองของพม่า กินเวลา 4 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1765-1769 ตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง กับพระเจ้ามังระ การสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ใน ค.ศ. 1767 ที่อาณาจักรอยุธยาเสียเอกราชแก่ราชวงศ์คองบองของพม่าจนสิ้นสภาพเดิม ในพงศาวดารพม่าระบุว่า พระเจ้ามังระมีพระราชสาส์นให้นายทหารและแม่ทัพในสงครามคราวนี่เร่งรีบกระทำการ และรีบเดินทางกลับพระนครอังวะ เพื่อที่จะเตรียมการรับสงครามคราวนี้ เหตุแห่งสงคราม มีที่มาจากพรมแดนระหว่างจีนกับพม่าทางมณฑลยูนนานในปัจจุบัน ซึ่งเคยมีปัญหามาก่อนตั้งแต่ ในยุคราชวงศ์ที่สองของพม่า คือ ราชวงศ์ตองอู ซึ่งตรงกับราชวงศ์หมิงอันเป็นราชวงศ์ของชาวจีนแท้ๆ พม่ากับจีนได้มีการทำสงครามกันหลายครั้ง โดยมากจะเป็นการปะทะกันบริเวณชายแดนแถบสิบสองปันนา จนกระทั่งถึงช่วงที่ราชวงศ์หมิงได้ล่มสลาย อู๋ซานกุ้ยแม่ทัพจีนที่...

ย้อนรอย "ทุ่งสังหาร" (KILLING FIELD) ตำนานสังหารที่โลกไม่เคยลืม

ทุ่งสังหาร” (KILLING FIELD) ประเทศกัมพูชา ทุ่งสังหาร” (KILLING FIELD) สถานที่กองกำลังเขมรแดงในอดีตใช้ประหารนักโทษทางการเมือง โดยมีวิธีการฆ่าก็เป็นไปอย่างหฤโหด คือ จับนักโทษเอามือไพล่หลัง ให้นั่งคุกเข่าแล้วผู้คุมจะใช้ไม้ตีต้นคอ ไม่ว่าจะเป็นเสียม จอบ หรือไม้ตีเบสบอลเอามาใช้ฆ่าคนได้ทั้งสิ้น เป็นการประหยัด เพราะถ้าใช้ลูกปืนยิงจะแพงกว่าเอาไม้ตี ใกล้ๆกับทุ่งกว้างนั้นยังมีต้นไม้ใหญ่ 2 ต้น ลักษณะคล้ายต้นก้ามปูบ้านเรา ต้นหนึ่งไว้ใช้ติดเครื่องขยายเสียง หรือลำโพงเอาไว้ถ่ายทอดเสียงนักโทษที่ชอบร้องครวญครางก่อนจะถูกฆ่า เพื่อให้ได้ยินโดยทั่วกัน จะได้ไม่กล้ากรีดร้องกันมากนัก เพราะการร้องจะทำให้เพิ่มความน่ากลัวกันไปใหญ่ ส่วนต้นก้ามปูอีกต้นหนึ่ง เรียกว่า ต้นไม้สังหาร จะใช้กับเด็กๆ ไม่ว่าเด็กเล็กหรือเด็กโต ผู้คุมจะจับสองเท้ารวบเข้าหากันแล้วจับฟาดเปรี้ยงกับต้นไม้ เด็กเล็กๆ จะเสียชีวิตทันที แล้วจากนั้นก็โยนลงหลุม บางหลุมถูกฆ่ายกครอบครัวพ่อแม่ลูก บางหลุมขุดขึ้นมาแล้วไม่พบหัวเลยก็มี เป็นผีหัวขาด เหลือแต่โครงกระดูก นักโทษเหล่านี้อาจจะเป็นปัญญาชนหรือนักโทษที่หัวรุนแรง ไม่ก็พวกที่มีแนวคิดต้องต้านเขม...