สงครามจีน – พม่า ยุทธภูมิสยบมังกร
สงครามจีน-พม่า หรือ การบุกครองพม่าของราชวงศ์ชิง หรือ การทัพพม่าแห่งราชวงศ์ชิง (อังกฤษ: Qing invasions of Burma, Myanmar campaign of the Qing Dynasty) เป็นการสงครามระหว่างราชวงศ์ชิงของจีน กับราชวงศ์คองบองของพม่า กินเวลา 4 ปี ระหว่าง ค.ศ. 1765-1769 ตรงกับรัชสมัยจักรพรรดิเฉียนหลง กับพระเจ้ามังระ
การสงครามครั้งนี้เริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ หลังการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง ใน ค.ศ. 1767 ที่อาณาจักรอยุธยาเสียเอกราชแก่ราชวงศ์คองบองของพม่าจนสิ้นสภาพเดิม ในพงศาวดารพม่าระบุว่า พระเจ้ามังระมีพระราชสาส์นให้นายทหารและแม่ทัพในสงครามคราวนี่เร่งรีบกระทำการ และรีบเดินทางกลับพระนครอังวะ เพื่อที่จะเตรียมการรับสงครามคราวนี้
เหตุแห่งสงคราม มีที่มาจากพรมแดนระหว่างจีนกับพม่าทางมณฑลยูนนานในปัจจุบัน ซึ่งเคยมีปัญหามาก่อนตั้งแต่ในยุคราชวงศ์ที่สองของพม่า คือ ราชวงศ์ตองอู ซึ่งตรงกับราชวงศ์หมิงอันเป็นราชวงศ์ของชาวจีนแท้ๆ พม่ากับจีนได้มีการทำสงครามกันหลายครั้ง โดยมากจะเป็นการปะทะกันบริเวณชายแดนแถบสิบสองปันนา จนกระทั่งถึงช่วงที่ราชวงศ์หมิงได้ล่มสลาย อู๋ซานกุ้ยแม่ทัพจีนที่สวามิภักดิ์ต่อชาวแมนจูได้นำกองทัพเข้าโจมตีพม่าเพื่อตามจับตัวอดีตจักรพรรดิหมิงที่มาลี้ภัยอยู่ที่พม่า ซึ่งสงครามครั้งนั้น ทำให้พม่าเสียหายเป็นอันมากจากการรุกรานของกองทัพจีน
ทว่าสงครามครั้งใหญ่ที่สุดของพม่าและจีนเกิดขึ้นในยุคราชวงศ์ชิงของชาวแมนจูที่เข้ามาปกครองแผ่นดินจีน โดยตรงกับรัชสมัยของจักรพรรดิเฉียนหลงแห่งต้าชิง ส่วนพม่านั้น ตรงกับสมัยของกษัตริย์มังระแห่งราชวงศ์คองบองซึ่งเป็นราชวงศ์ที่สามและราชวงศ์สุดท้ายของพม่า
สงครามครั้งนี้ มีเหตุมาจากความขัดแย้งระหว่างพม่ากับจีนในเรื่องหัวเมืองไทใหญ่ ซึ่งกองทัพพม่าได้ยกเข้าดินแดนไทใหญ่ และรุกคืบไปเรื่อย ๆ ทำให้พวกเจ้าฟ้าไทใหญ่ได้ไปขอความช่วยเหลือจากจีน ใน ปี ค.ศ.1759 ทว่าในช่วงแรก ทางจีนมองว่า เป็นเพียงสงครามระหว่างพม่ากับไทใหญ่ที่ยังไม่มีผลกระทบโดยตรงกับจีน องค์จักรพรรดิจึงไม่ทรงอนุญาตให้ส่งทัพเข้าแทรกแซง เพียงแค่ให้การสนับสนุนด้านเสบียงอาวุธแก่ฝ่ายไทใหญ่เท่านั้น จนเมื่อผ่านไปนานวันและสถานการณ์เริ่มรุนแรงขึ้น ทำให้ราชสำนักจีนเริ่มระแวงว่า ทัพพม่าอาจได้ใจและรุกเข้ามาจนเป็นภัยคุกคามชายแดน
ใน ปี ค.ศ.1764 หลังทราบว่า กษัตริย์มังระแห่งพม่าได้ส่งทัพใหญ่ไปทำสงครามกับสยาม (สงครามเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง) ราชสำนักชิงได้เห็นเป็นโอกาสที่จะกำราบความโอหังของพม่า จักรพรรดิเฉียนหลงจึงมีพระบัญชาให้เสนาบดีหลิวเจ้า นำกำลังพลจากกองธงเขียว (กองธงที่ทหารในหน่วยล้วนเป็นชาวฮั่น ซึ่งตั้งขึ้นหลังจากราชวงศ์ชิงครองแผ่นดินจีนแล้ว) 3500 นาย ไปช่วยพวกไทใหญ่ขับไล่กองทัพพม่า โดยร่วมกับทัพไทใหญ่อีก 1500 นาย
กองทัพชิงเปิดศึกกับพม่าใน ปี ค.ศ.1765 ที่เมืองเชียงตุง ทว่าหลิวเจ้าถูกเนเมียวสีหตู แม่ทัพพม่าประจำเชียงตุงซึ่งมีทหารเพียงสองพัน หลอกให้ทัพชิงเข้ายึดเมืองและไล่ตามเข้าไปในป่าเขาจนทหารจีนอ่อนกำลังและถูกตัดทางถอย ก่อนถูกทัพพม่าโจมตีจนแตกพ่ายและถอยกลับไปอย่างยับเยิน ทำให้หลิวเจ้าต้องปลิดชีพตนเองเพื่อหนีความอัปยศ
ความพ่ายแพ้ที่เชียงตุง ทำให้จักรพรรดิเฉียนหลง ทรงเห็นว่า เป็นความอัปยศของต้าชิง ที่ปล่อยให้แคว้นป่าเถื่อนเล็ก ๆ อย่างพม่ามาหยามหมิ่นได้ จึงทรงมีพระบัญชา ให้ หยางอิงจวี่ ขุนนางใหญ่ผู้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับสถานการณ์ภาคใต้ เข้ารับตำแหน่งข้าหลวงอวิ๋นกุ้ยและปฏิบัติภารกิจพิชิตพม่าแทนหลิวเจ้า
หลังรับพระบัญชา หยางอิงจวี่ก็นำทหารสองหมื่นห้าพันนาย โดยเป็นทหารกองธงเขียวหนึ่งหมื่นสี่พัน ที่เหลือเป็นทหารไทใหญ่ เดินทัพสู่แนวหน้าในฤดูร้อน ปี ค.ศ.1766 โดยหยางอิงจวี่ไม่เพียงจะช่วยพวกไทใหญ่ขับไล่ทัพพม่าเท่านั้น แต่ยังหมายจะพิชิตพม่าให้เด็ดขาดด้วยการจู่โจมกรุงอังวะ เมืองหลวงของพม่าด้วย
ทว่าฝ่ายพม่ารู้ว่า ครั้งนี้ ต้าชิงจะต้องบุกมาถึงกรุงอังวะ เพื่อแก้แค้นความพ่ายแพ้ครั้งก่อนและเส้นทางที่จะรุกสู่อังวะจากทางเหนือได้เร็วที่สุด คือมาตามลำน้ำอิระวดี ราชสำนักพม่าจึงวางแผนรับศึก โดยให้แม่ทัพพลามินดิน มาตั้งมั่นที่เมืองปูเตา ริมแม่น้ำ อิระวดี ซึ่งเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญที่ทัพชิงต้องผ่าน หากจะยกทัพมาทางน้ำ นอกจากนี้ ยังมีทัพของมหาสีหตูกับเนเมียวสีหตู คอยซุ่มกระหนาบทัพชิงและมีทัพของอะแซ หวุ่นกี้ คอยตัดทางถอย โดยเมื่อวางกำลังพร้อมแล้ว ทัพพม่าก็รอการมาของข้าศึกอย่างใจเย็น
ทัพชิงเข้าโจมตีปูเตาอย่างดุเดือด ทว่าทหารพม่าได้ต่อต้านอย่างสุดกำลัง จนทัพชิงต้องล้มเหลวและเสียรี้พลไปมาก ประกอบกับสภาพอากาศเปลี่ยนแปลงและโรคมาลาเรียระบาด จึงทำให้ทหารเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก
เมื่อเห็นกองทัพจีนอ่อนกำลังจนถึงขีดสุด ทัพพม่าจึงฉวยโอกาสเปิดศึกทันที โดย เนเมียวสีหตูได้นำทัพเข้าจู่โจมทัพชิงที่ล้อมเมืองปูเตาอย่างดุเดือด ฝ่ายพลามินดินซึ่งรักษาปูเตา ก็นำทัพออกมาตีกระหนาบทัพชิง จนแตกพ่ายและล่าถอย ทว่ากองทัพจีนก็ถูกทัพของอะแซหวุ่นกี้ที่รออยู่ ตีกระหนาบซ้ำ จนเสียหายยับเยิน
เมื่อหนีกลับมาถึงยูนนานแล้ว หยางอิงจวี่ก็ส่งรายงานเท็จถึงราชสำนักว่า ตนได้รับชัยชนะยิ่งใหญ่ สังหารข้าศึกไปนับหมื่นและทางฝ่ายพม่าได้ขอเจรจาสงบศึก แต่จักรพรรดิเฉียนหลงมิทรงเชื่อ จึงมีพระบัญชาให้หยางอิงจวี่มาเข้าเฝ้าเมื่อสอบถามความจริง หยางอิงจวี่เมื่อรับราชโองการแล้ว ก็เกรงกลัวความผิดจึงตัดสินใจฆ่าตัวตายในที่สุด
หลังความพ่ายแพ้ถึงสองครั้ง จักรพรรดิเฉียนหลงทรงเห็นว่า เพียงกำลังพลและแม่ทัพชาวฮั่นยังมีศักยภาพไม่พอชนะศึก จึงควรให้ใช้กำลังทัพแปดธงอันเกรียงไกรของแมนจูออกโรงเอง ดังนั้น จักรพรรดิจึงทรงมีพระบัญชาให้พระนัดดา หมิงรุ่ย แม่ทัพแมนจูผู้เคยมีประสบการณ์สู้รบกับชาวเติร์กในเอเชียกลางมาแล้วอย่างโชกโชน รับตำแหน่งข้าหลวงอวิ๋นกุ้ยและแม่ทัพพิชิตพม่า
หมิงรุ่ยเดินทางมาถึงยูนนาน พร้อมด้วยทหารจากทัพแปดธง สามหมื่นนายพร้อมทหารกองธงเขียวอีกหนึ่งหมื่นสองพัน มาสมทบกับกองทัพพันธมิตรเจ้าฟ้าไทใหญ่ ในเดือนเมษายน ปี ค.ศ.1769 โดยมีไพร่พลรวมทั้งสิ้นห้าหมื่นนาย
ทว่าแม้จะใช้กองทัพชั้นเยี่ยมอย่างทัพแปดธง แต่สภาพป่าเขาอันทุรกันดารของพม่าก็เป็นอุปสรรคสำคัญต่อการรบของทัพชิง ทำให้ศักยภาพของกองทัพต้องด้อยลง
อย่างไรก็ตาม ศึกนี้ ก็สร้างแรงกดดันใหญ่หลวงแก่พม่า เพราะนอกจากทัพชิงจะใหญ่และแข็งแกร่งกว่าครั้งก่อน ๆ แล้ว ยังมาในขณะที่พม่าขาดแคลนกำลังพล เนื่องจากทัพใหญ่ยังติดพันสงครามกับสยาม
แม่ทัพหมิงรุ่ยได้แบ่งทัพเป็นสองส่วน โดยทัพที่หนึ่ง ซึ่งหมิงรุ่ยนำทัพเอง จะโจมตีทางแสนหวี ก่อนล่องใต้ตามลำน้ำนัมตู ส่วนทัพที่สองจะรุกตามเส้นทางเดิมของหยางจิงอวี่ ล่องใต้ตามลำน้ำอิระวดี โดยไปบรรจบกันที่กรุงอังวะ ขณะที่ฝ่ายพม่าได้ให้เนเมียวสีหตูไปรับทัพที่สองของต้าชิง ส่วนทัพที่หนึ่ง ให้เป็นหน้าที่ของอะแซหวุ่นกี้และมหาสีหตู
เดือนพฤศจิกายน ค.ศ.1767 ทัพของหมิงรุ่ยได้ยึดแสนหวีเป็นที่มั่น โดยทิ้งทหารไว้ห้าพันและระดมกำลังหนึ่งหมื่นห้าพันนายบุกต่อไป โดยทัพของหมิงรุ่ยสามารถตีทัพพม่าถ่อยร่นและสามารถรุกเข้ามาอยู่ห่างกรุงอังวะเพียงสามสิบไมล์
ทว่าการที่หมิงรุ่ยบุกลึกเข้ามา ไกลจากที่มั่นในแสนหวี เป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ ทำให้การส่งกำลังบำรุงทำได้ลำบาก จึงเป็นโอกาสของอะแซหวุ่นกี้ในการตอบโต้ โดยส่งทหารซุ่มโจมตีกองลำเลียงของต้าชิงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้สถานการณ์ของฝ่ายหมิงรุ่ยเริ่มย่ำแย่ ขณะเดียวกัน ทัพที่สองของต้าชิง ซึ่งเคลื่อนพลมาทางลำน้ำอิระวดี ก็เผชิญการต่อต้านอย่างหนักที่ปูเตา จนเสียหายอย่างมากและจำต้องถอยทัพกลับยูนนานโดยพลการ
ทว่าการที่หมิงรุ่ยบุกลึกเข้ามา ไกลจากที่มั่นในแสนหวี เป็นระยะทางหลายร้อยไมล์ ทำให้การส่งกำลังบำรุงทำได้ลำบาก จึงเป็นโอกาสของอะแซหวุ่นกี้ในการตอบโต้ โดยส่งทหารซุ่มโจมตีกองลำเลียงของต้าชิงอย่างต่อเนื่อง จนทำให้สถานการณ์ของฝ่ายหมิงรุ่ยเริ่มย่ำแย่ ขณะเดียวกัน ทัพที่สองของต้าชิง ซึ่งเคลื่อนพลมาทางลำน้ำอิระวดี ก็เผชิญการต่อต้านอย่างหนักที่ปูเตา จนเสียหายอย่างมากและจำต้องถอยทัพกลับยูนนานโดยพลการ
ขณะนั้น ทัพใหญ่ของเนเมียวสีหบดีซึ่งเสร็จศึกที่อยุธยา ก็กลับมาถึงอังวะ ทำให้อะแซหวุ่นกี้สามารถระดมกำลังเข้ายึดแสนหวีคืนจากต้าชิงได้สำเร็จ ทัพจีนจึงถูกตัดทางถอยโดยปริยาย พอเข้าสู่เดือนมีนาคม ทัพหมิงรุ่ย ก็ต้องเผชิญกับโรคมาลาเรียระบาด ทำให้หมิงรุ่ยผู้เคยหมายจะกรีธาทัพเข้าสู่อังวะอย่างผู้ชนะ มาบัดนี้แม้จะกลับยูนนานก็ยังทำไม่ได้
ฝ่ายพม่าได้ระดมกำลังกว่าหมื่นคน เข้าปิดล้อมทัพของหมิงรุ่ยและทำการรบขั้นแตกหักที่เมย์เมียว ห่างจากกรุงอังวะห้าสิบไมล์ การสู้รบครั้งนี้ ดุเดือดรุนแรงขนาด เลือดไหลนองเป็นสายธาร ในที่สุดกองทัพของหมิงรุ่ย ก็พ่ายแพ้ยับเยิน
ความปราชัยครั้งนี้ ทำให้หมิงรุ่ยในฐานะแม่ทัพใหญ่ผู้มีผลงานในการศึกมาไม่น้อย ไม่มีหน้ากลับไปยังแผ่นดินจีนอีก ในที่สุดเขาก็ตัดสินใจผูกคอตายล้างความอัปยศในครั้งนี้ ที่แดนพม่านั่นเอง
ที่มา : http://www.komkid.com
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น